Vaccination Services

Doctor HUB Clinic offers comprehensive Vaccination Services aimed at protecting individuals of all ages through immunization. The clinic prioritizes preventive care, providing vaccinations to safeguard against a wide range of infectious diseases and promote overall well-being. With an extensive selection of vaccines, including hepatitis B, influenza, HPV, and more, the clinic ensures comprehensive coverage tailored to individual needs. The healthcare professionals at Doctor HUB Clinic possess the expertise and knowledge necessary to deliver vaccinations safely and address any concerns. By choosing the clinic’s Vaccination Services, individuals can trust in the highest quality immunizations available. Schedule an appointment at Doctor HUB Clinic today to safeguard your health and contribute to disease prevention through immunization.

วัคซีน คืออะไร…แล้วทำไมเราถึงต้องฉีดวัคซีน ?

วัคซีน (Vaccine)
        คือสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าไปร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ส่วนใหญ่ทำมาจากเชื้อโรค แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ทำจากเชื้อโรคที่ตายแล้วมีสารของเชื้อโรคมาฉีดเข้าตัวเรา และ ทำจากเชื้อโรคที่อ่อนแอ ทำให้มันสลบพิษจะได้ไม่รุนแรง เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายคนเรา ร่างกายเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกัน กับโรคนั้นๆ

วัคซีนสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
          สามารถฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งในปัจจุบันจะมีตารางสำหรับฉีดวัคซีน ว่าควรเริ่มฉีดตั้งแต่อายุเท่าไหร่

วัคซีนชนิดต่างๆ
1.วัคซีนป้องกันตับอักเสบบี

  • เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 3 เข็มถ้าไม่มีข้อห้ามและเข็มสุดท้ายต้องอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 6 เดือน
  • ทารกที่คลอดจากมารดาที่ HBsAg ให้ผลลบ หรือไม่ทราบผลก็ให้ฉีดวัคซีนจำนวน 3 ครั้งเมื่อแรกเกิด อายุ1-2เดือน และอายุ 6 เดือน
  • ทารกที่คลอดจากมารดาที่ HBsAg ให้ผลบวก(โดยเฉพาะถ้าHBeAg เป็นบวกด้วย) พิจารณาให้ภูมิต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBIG 0.5 ซีซีภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด และให้วัคซีนครั้งที่1พร้อมๆกันคนละตำแหน่งกับที่ฉีด HBIG วัคซีนเข็มที่2 ให้เมื่ออายุ1-2 เดือน และครั้งที่3เมื่ออายุ 6 เดือน
  • ถ้ามารดามี HBsAg ให้ผลบวก แต่ไม่มียา HBIG ควรให้วัคซีนเข็มที่1 ภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด เข็มที่2 และเข็มที่3 ให้เมื่ออายุทารก 1 เดือน และ 6 เดือนตามลำดับ
  • กรณีมาทราบภายหลังว่ามารดามี HBsAg ให้ผลบวก ควรพิจารณาให้ HBIG ถ้าทารกได้วัคซีนมาแล้วไม่เกิน 7 วันตามแผนการสร้างภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนรวมที่มีทั้ง คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และไวรัสตับอักเสบบี (DPT-HB) ที่อายุ 2 4 และ 6 เดือน แต่ถ้ามารดามี HBsAg ให้ผลบวกและทารกไม่ได้ HBIG ควรให้วัคซีนตับอักเสบบีเดี่ยวเพิ่มตอนอายุ 1 เดือนด้วย(รวมเป็น 5 ครั้ง)
  • เด็กที่ไม่เคยฉีดวัคซีนตับอักเสบบีมาก่อนเด็กอายุน้อยกว่า 11 ปีสามารถฉีดวัคซีนในเดือนที่ 0,1,6 ตามลำดับ ส่วนเด็กอายุ 11-15 อาจฉีดเพียง 2 ครั้งในเดือนที่ 0 และ4-6 ให้ใช้วัคซีนขนาด 1 ซ๊ซี เท่าผู้ใหญ่
  • เด็กที่คลอดมาจากมารดาที่มี HBsAg ให้ผลบวก อาจจะพิจารณาตรวจ HBsAG และ Anti-HBs เมื่ออายุ 9-18 เดือน

2.ไข้หวัดใหญ่

  • พิจารณาให้ฉีดในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปถึง 18 ปีโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า2 ปี และเด็กที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงเช่นเด็กที่จะเป็นโรคเรื้อรัง(รวมหอบหืด) โรคหัวใจ โรคอ้วนที่ BMIมากกว่าหรือเท่ากับ 35 ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคเรื้อรังเป็นต้น
  • ถ้าอายุน้อยกว่า 9 ปี การฉีดครั้งแรกต้องฉีดสองเข็มห่างกันหนึ่งเดือน กรณีที่ปีแรกได้ไปฉีดเพียงครั้งเดียว ปีต่อมาให้ฉีดสองครั้งหลังจากนั้นให้ฉีดปีละครั้ง
  • ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือนให้ลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง (0.25 ซีซี)

    ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี
    นั่นก็เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปีซึ่งเป็นวงจรปกติของไวรัสที่ต้องปรับตัวเองเพื่อความอยู่รอด และไวรัสจะอยู่ตามบรรยากาศธรรมชาติทั่วไปได้ไม่นานก็ตาย จึงจำเป็นต้องหาวิธีติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องป้องกันไวรัสนี้ได้โดยการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปทุกปีนั่นเอง
   
หลังฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันจะได้ผลตอนไหน?
   
ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นไวรัสที่มีระยะฟักตัวสั้นมาก โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 1-4 วัน ก็ทำให้มีอาการติดเชื้อได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ขึ้นสูงก่อนที่ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกาย โดยปกติภูมิคุ้มกันจะขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว 10-14 วัน
   ได้รับวัคซีนก่อน…โอกาสติดเชื้อก็น้อยกว่า
    ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ 100% แต่ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เมื่อติดเชื้อจะพบว่ามีอาการต่างๆ ของโรคน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน ซึ่งอาจจะเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนต่างๆ การนอนโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิตได้ง่ายกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ปี 2025: องค์ประกอบและประสิทธิภาพ
     องค์การอนามัยโลก (WHO) มีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก และมีการแนะนำองค์ประกอบของวัคซีนที่ควรใช้ในแต่ละปีสำหรับแต่ละภูมิภาค โดยอิงจากการคาดการณ์สายพันธุ์ที่จะมีการระบาด สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับภูมิภาคซีกโลกใต้ (Southern Hemisphere – SH) ในปี 2025 องค์ประกอบที่แนะนำคือ:
สายพันธุ์ A/Victoria/4897/2022 (H1N1)pdm09
สายพันธุ์ A/Croatia/10136RV/2023 (H3N2)
สายพันธุ์ B/Austria/1359417/2021 (B/Victoria lineage)
สายพันธุ์ B/Phuket/3073/2013 (B/Yamagata lineage)

3. HPV วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

  • มีสองชนิดคือ ชนิดสองสายพันธ์ ( bivalent มีสายพันธ์ 16 และ18)และชนิด 4 สายพันธ์(quavalent มีสายพันธ์ 6,11,16,18)
  • แนะนำให้ฉีดในผู้หญิงอายุ 9-26 ปี(เน้นให้ฉีดในช่วงอายุ 11-12 ปีโดยฉีด 3 เข็มเดือนที่ 0,1-2 และ 6
  • ประสิทธิภาพจะสูงหากฉีดในผู้ที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
  • การฉีดในผู้ที่อายุมากกว่า 26 ปีอาจพิจารณาให้เป็นกรณีๆไป

    ถ้าจะฉีดวัคซีน HPV จำเป็นต้องตรวจภายในก่อนหรือไม่ ?
       
    การฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ ไม่จำเป็นจะต้องตรวจภายในก่อน เพราะหากผลตรวจออกมาเจอเชื้อ HPV หรือไม่ก็ตาม การฉีดวัคซีนก็ยังคงได้ประโยชน์ในการป้องกันเชื้อลุกลาม เเละป้องกันการติดเชื้อซ้ำ การฉีดในเด็กผู้ชายพิจารณาให้ฉีดเฉพาะ 4 สายพันธ์ ในช่วงอายุ 9-26ปีเน้นให้ในช่วงอายุ 11-12 ปี และในกลุ่มชายรักชายอายุ 9-26ปี

    วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ กับ 9 สายพันธุ์ ต่างกันยังไง ?
         
    1. วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ จะช่วยป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ซึ่งจะสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 70% รวมทั้งช่วยป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 90%
         2. วัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ จะช่วยป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกเเละหูดหงอนไก่ได้ถึง 99% ทั้งยังช่วงป้องกันมะเร็งปากช่องคลอด ทวารหนัก ช่องปาก และลำคอได้ด้วย